“กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ”เจาะลึก เศรษฐกิจไทย-โลก จับตาเทรดวอร์ การเลือกตั้ง

“กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ”เจาะลึก เศรษฐกิจไทย-โลก จับตาเทรดวอร์ การเลือกตั้ง

"กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ” จัดงาน KRUNGSRI EXCLUSIVE  Economic and Investment Outlook 2019 เชิญกูรูด้านเศรษฐกิจ -การเงินและการลงทุน เจาะลึกภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2019 เกาะติดปัจจัยเสี่ยงภายใน-นอกประเทศมีเพิ่มขึ้น ชี้เศรษฐกิจไทยยังโตตามศักยภาพ 3-4% ด้าน เจพี มอร์แกน จับตาผลประชุมเฟด แนะลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย   


 เศรษฐกิจโตตามศักยภาพ-เชื่อเทรดวอร์ยืดเยื้อ

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในหัวข้อ Thailand Economic Outlook 2019 เศรษฐกิจไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ว่าจากประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากสำนักวิจัยต่าง ๆ มองการเติบโตที่ 3-4% ถือว่าเป็นการขยายตัวตามศักยภาพ โดยการลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่คาดหวังว่าจะกลับมา ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยที่จะพิจารณาคือ การเลือกตั้ง, การมีโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการผ่านเรื่องโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้า ซึ่งเมื่อภาครัฐเริ่มเดินเครื่องการลงทุนเหล่านี้แล้ว การลงทุนภาคเอกชนก็จะขยายตัวตามมา ส่วนการบริโภคที่เคยเป็นห่วง และการส่งออกมีแต่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่ได้รับประโยชน์ ในประเด็นนี้ภาพได้เปลี่ยนมาครึ่งปีกว่าแล้ว คือเริ่มเห็นการผงกหัวขึ้น ภาคการเกษตรขยับตัวชัดเจน การจ้างงาน การบริโภค และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เริ่มอยู่ตัว ที่ยังน่าเป็นห่วงคือภาคการเกษตร แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะขยายตัวได้ 3% กว่า ๆ หรือเกือบ 4% ส่วนประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ หรือ เทรดวอร์ เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว เพราะสหรัฐฯ ยกตัวเลขการขาดดุลการค้ามาเป็นข้ออ้าง แท้จริงแล้วต้องการให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านเทคโนโลยี ซึ่งจีนมีท่าทีที่อ่อนลง และพร้อมจะซื้อสินค้าจากอเมริกามากขึ้น แต่ปัญหาไม่น่าจะจบลงได้ง่าย ๆ และรูปแบบการเจรจาน่าจะใช้เวลา แต่หากปัญหายืดเยื้อนานเกินไป ก็จะไม่เป็นผลดีนัก ส่วนที่คนห่วงว่าสหรัฐอเมริกามีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่ว่านั้นมีอยู่แต่ไม่คิดว่าแย่ โดยยังมีเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่อื่นค้ำจุนอยู่ เช่น ญี่ปุ่น และยุโรป

 ด้าน ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า แม้ปัจจุบันดูเหมือนมีปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเข้ามา แต่เชื่อว่าด้วยโครงสร้างและนโยบายที่ออกมาแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างช่วยได้พอสมควร และยังทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง แต่จุดที่นักเศรษฐศาสตร์กังวลใจ คือเศรษฐกิจดีแต่ทำไมคนไม่รู้สึก การบริโภคยังไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากรายได้ภาคการเกษตรที่ผ่านมา ราคาสินค้าประเภทข้าวเริ่มดีขึ้น แต่ราคาปาล์ม ยาง ยังไม่ดีนัก ทำให้รายได้ภาคการเกษตรภาคใต้ไม่ค่อยดี การไม่กระจายตัวของรายได้จึงเป็นจุดที่ต้องรีบแก้ไข อย่างไรก็ดี การลงทุนมีสัญญาณที่ดีขึ้น พบยอดการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างชาติ ในระยะ 9 เดือนแรกของปี 2561 เติบโตเกือบ 5% ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ส่วนการลงทุนภาครัฐหลายโครงการได้ผ่านการอนุมัติและก่อสร้างแล้ว จึงเชื่อว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล โครงการเหล่านี้จะยังขับเคลื่อนต่อไป กรณีสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ มีผลกระทบต่อไทย 2 แบบคือ ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยส่งวัตถุดิบหรือกึ่งวัตถุดิบไปประกอบที่จีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เช่น สินค้าเกษตร และเคมีภัณฑ์ ส่วนนี้จะได้รับผลกระทบ อีกแบบคือ สินค้าทดแทน หากไม่นำเข้าจากจีนก็อาจจะนำเข้าจากที่อื่นแทน ซึ่งถือว่าส่วนนี้ไทยจะได้ประโยชน์ แต่ก็พบว่าเวียดนามได้ประโยชน์มากกว่าจากตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น แต่ที่น่ากังวลมากกว่าคือ ทั้งสองประเทศตกลงจะทำการค้ากันมากขึ้น ค้าขายกันเองมากขึ้น

ชี้ปัจจัยเสี่ยง “การเลือกตั้ง-ต่างประเทศ”

ดร.สมชัย กล่าวอีกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลอะไรมากนัก สิ่งที่เห็นคือดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นปรับขึ้นจริง 
แต่ดอกเบี้ยระยะยาวไม่ได้ขึ้นเลย ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับขึ้นก็เป็นการขึ้นแบบเฉพาะเจาะจง วงเงินไม่มาก เหตุผลของการปรับขึ้นก็ชัดเจนตามคำชี้แจงของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) คือกังวลต่อความเปราะบางในระบบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยกู้ภาคอสังหาฯ ปล่อยกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเปิดช่องหรือโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยกรณีเศรษฐกิจแย่มาก ๆ  ส่วนปัจจัยเสี่ยงในขณะนี้ คงต้องพูดถึงเรื่องเลือกตั้ง เพราะว่ามีผลถึงความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คาดเดาค่อนข้างยาก ที่เดาได้คือมีรัฐบาลผสม แต่ที่เดาไม่ได้คือพรรคใดจะผสมกับพรรคใด เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ประเด็นถัดมาคือเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว และตั้งรัฐมนตรีแล้วจะบริหารประเทศได้หรือไม่ เพราะต้องผ่านกฎหมายสภาล่าง ที่สำคัญคือ พ.ร.บ.งบประมาณจะผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่านก็บริหารประเทศไม่ได้ ไม่มีเงินใช้ แต่ก็มีช่องทางเปิดให้คือหากกฎหมายไม่ผ่านด้วยสาเหตุบางประการ เมื่อมีรัฐบาล ก็อนุโลมให้เอางบประมาณปีก่อนหน้ามาใช้ได้ แต่ก็ไม่มีใครอยากให้ไปถึงช่องนั้น 

ขณะที่ ดร.สมประวิณ กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสขึ้นได้อีก 1 ถึง 2 ครั้งในปีนี้ แต่จะไม่ขึ้นแบบต่อเนื่อง โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลต่อการเก็งกำไรจากการลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทน แต่จะไม่มีผลกับคนทำงานปกติทั่วไป ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่า น่าจะมาจากปัจจัยนอกประเทศ หากเกิดเศรษฐกิจถดถอยหรือชะลอตัว ก็จะเกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ อีกประเด็นที่คนยังไม่พูดกันมากนัก คือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถวางกลยุทธ์ได้ถูกต้องเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่คำถามคืออีก 30 ปีข้างหน้าจะเป็นอะไร ซึ่งตนเองก็ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ จึงเป็นโจทย์ที่จะต้องไปคิด ปรับตัวให้เร็วขึ้น บางทีต้องแยกให้ออกถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการแก้ปัญหาไม่ควรผิดพลาด ต้องแยกแยะการแก้ปัญหาระยะสั้น และระยะยาวให้ถูก

เจพี มอร์แกน เน้นปลอดภัยมุ่งลงทุนพันธบัตร

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก  J.P. Morgan มาวิเคราะห์ถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก และทิศทางการลงทุนในปี 2562 Dr. Jasslyn Yeo,  CFA, CFTe Executive Director Global Market Strategist J.P. Morgan และ Mr. Leon Goldfeld  Portfolio Manager, Multi-Asset Solutions J.P. Morgan

เจพี มอร์แกน ให้มุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ เป็นช่วงขาลงก็จริง แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย จากนี้ จะต้องจับตาดูที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ซึ่งจะเป็นตัวชี้ชัดว่าเป็นอย่างไร เพราะจะส่งผลกับเศรษฐกิจโลก แต่ล่าสุด FED มีเสียงอ่อนลงในการปรับขึ้นดอกเบี้ย และต้องการรอดูข้อมูลทางเศรษฐกิจ เป็นการเพิ่มความระมัดระวังในการตีความว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะหากขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้ง เศรษฐกิจโลกจะถดถอยทันที แต่ตอนนี้FED พิจารณาอย่างระมัดระวังดังนั้น  เจพีฯ มองว่าอีก 12 เดือนนับจากนี้ FED จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน จึงสรุปได้ว่าเศรษฐกิจเป็นขาลงแต่จะยังไม่ถดถอย ส่วนญี่ปุ่น และยุโรปก็ต้องติดตามเช่นกัน แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในลักษณะไซด์เวย์ คือไม่ไปไหนเท่าไหร่ ส่วนจีน เติบโตต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ 6.4% ส่วนหนึ่งมาจากความตั้งใจที่ต้องการลดความร้อนแรงของจีนเอง และสงครามการค้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ทำให้เกิดความท้าทายกับจีนมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ประเด็นความตึงเครียดทางการค้าจะยืดเยื้อต่อไปแต่ไม่รุนแรง ดังนั้น แม้เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาต่อไปแต่ไม่ให้น้ำหนักมากนัก ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เจพีฯ ค่อนข้างชอบสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหากเรามองว่าเศรษฐกิจโลกตอนนี้มีความเสี่ยง สินทรัพย์ประเภทนี้ก็จะมีความปลอดภัยเพราะไปในทิศทางตรงข้ามกับตลาดหุ้น ส่วนหุ้น หาก FED ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย หุ้นสหรัฐยังไปได้อยู่ และน่าจะให้ผลกำไร 10% ต่อปี ทำให้หุ้นสหรัฐฯ ยังคงลงทุนได้ สำหรับมุมมองการจัดสรรพอร์ตการลงทุน มองออกเป็นสองส่วน คือตลาดที่พัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ จะเป็นการกระจายการลงทุนด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม หากจีนเกิดปัญหาอาจมีผลในเชิงลบกับตลาดเกิดใหม่ แต่ภาพดังกล่าวยังไม่ชัด เมื่อไม่ชัดจึงเลือกให้น้ำหนักกับส่วนที่มีความปลอดภัยมากกว่าคือให้น้ำหนักไปที่ตลาดพัฒนาแล้วมากกว่า

งาน KRUNGSRI EXCLUSIVE Economic and Investment Outlook 2019 เป็นหนึ่งในเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้ากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเข้าร่วมสัมมนาด้านการเงินการลงทุน ร่วมรับฟังทิศทางการลงทุนและมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก โดยนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ และการลงทุนระดับแนวหน้าของประเทศ ไปจนถึงระดับโลก รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของธนาคารและบริษัทในเครือกรุงศรี เพื่อให้ก้าวทันภาวะการเงินและเศรษฐกิจที่ไม่หยุดนิ่ง เอกสิทธิ์พิเศษนี้ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ จัดขึ้นเพื่อลูกค้าคนสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

 

 

Comments

Share Tweet Line