“วาโก้”มอบ1ล้านบาท ศิริราช เดินหน้างานวิจัยถอดรหัสยีนมะเร็ง รักษามะเร็งเต้านม

“วาโก้”มอบ1ล้านบาท ศิริราช เดินหน้างานวิจัยถอดรหัสยีนมะเร็ง รักษามะเร็งเต้านม

โรคมะเร็ง” สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย เป็นฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะแม้เทคโนโลยีการแพทย์ปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่ต้องยอมรับว่าโรคนี้รักษาหายขาดได้ยาก โดยเฉพาะผู้ป่วยระยะลุกลามที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง ทั้งยังมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถเข้าถึงวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ เหล่านี้ได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และไม่อยู่ในสิทธิ์เบิกจ่ายใดๆ ของภาครัฐ


แต่อีกไม่นาน คำว่า “มะเร็งเป็นได้ก็หายได้” อาจไม่ใช่ความหวังที่ไกลเกินเอื้อม เมื่อทุกคนมีโอกาสรับการรักษาได้เท่าเทียมกัน จากงานวิจัย “ถอดรหัสยีนมะเร็ง” เพื่อสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมมะเร็งในคนไทยเป็นครั้งแรกของประเทศ ริเริ่มโดยสถานวิทยามะเร็งศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศที่จะผลักดันให้เกิดมาตรฐานใหม่ ในการวางแนวทางรักษาโรคมะเร็งตามหลักการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ให้เหมาะสมกับพันธุกรรมของผู้ป่วยมะเร็งแต่ละรายมากที่สุด จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้หายขาดได้ถึงขีดสุด และมีผลข้างเคียงต่ำ

ล่าสุด บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินภารกิจต้านโรคมะเร็งเต้านมมาต่อเนื่อง 18 ปี ภายใต้ “โครงการวาโก้โบว์ชมพู สู้มะเร็งเต้านม ได้ร่วมสมทบทุน 1,000,000 บาท เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยดังกล่าว และเชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นผู้ให้ในการส่งมอบความหวังใหม่ในการรักษามะเร็งครั้งนี้ไปด้วยกัน

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วาโก้ตระหนักดีถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย เฉลี่ย 80,000 คนต่อปี หรือเท่ากับว่าใน 1 ชั่วโมงจะมีคนตายเพราะโรคนี้ถึง 8 คน นอกจากนั้นยังพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่อีกถึงปีละกว่า 130,000 ราย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมที่ยังคงครองแชมป์มะเร็งอันดับ 1 ที่พบมากที่สุดในกลุ่มผู้หญิงไทย

“ปัญหาสำคัญของผู้ป่วยมะเร็งตอนนี้ คือ การรักษามะเร็งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก โดยเฉพาะวิธีการรักษารูปแบบใหม่ๆ เพราะไม่อยู่ในสิทธิ์เบิกจ่ายได้ เช่น การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด หรือยาต้านมะเร็งแบบมุ่งเป้า (targeted therapy) ที่มีอยู่มากกว่า 100 ชนิด ซึ่งถูกนำมาใช้แทนการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อลดผลข้างเคียงในการรักษา นอกจากนี้ ยังไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่า เมื่อผู้ป่วยยอมเสียเงินจำนวนมากทดลองใช้วิธีรักษาเหล่านี้แล้ว จะตอบสนองต่อการรักษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ วาโก้เชื่อมั่นว่า หากโครงการวิจัยนี้ประสบผลสำเร็จไม่เพียงจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีไปถึงผู้หญิงทุกคนที่มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมในอนาคตอีกด้วย

อ.ดร.นพ. วิทูร ชินสว่างวัฒนกุล หัวหน้าสถานวิทยามะเร็งศิริราช กล่าวถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า ในอดีต การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยจะใช้กรอบหรือสูตรการรักษาเหมือนกันหมดกับผู้ป่วยทุกราย (one size fits all) ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค เรียกว่า “เวชปฏิบัติกลาง”แต่ที่จริงแล้วร่างกายคนเรามีสาเหตุการเกิดโรคต่างกัน ผลที่ได้คือมีทั้งคนที่หายและไม่หาย บางครั้งยังเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือได้รับผลข้างเคียงจากยาจนกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โดยจากสถิติพบว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยมากกว่า 30% ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบนี้

การรักษามะเร็งด้วยการแพทย์แม่นยำจะใช้เทคโนโลยีถอดรหัสยีนมะเร็งเข้ามาช่วยใน 2 เรื่องคือ การตรวจวินิจฉัยเพื่อดูว่า ผู้ป่วยแต่ละรายเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ชนิดใดจนเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง จากนั้นแพทย์จึงจะสามารถวางแนวทางการรักษาที่จำเพาะสอดคล้องกับสาเหตุของโรคได้อย่างแม่นยำ และเลือกใช้ในเวลาที่เหมาะสม ทำให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีผลข้างเคียงน้อย ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องลองใช้ยาทีละตัวๆ ไปตามขั้นตอน แต่สามารถระบุวิธีการรักษาหรือตัวยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยได้ตั้งแต่เริ่มต้น และมีโอกาสหายขาดจากโรคมากขึ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่พบว่ายีนมะเร็งในผู้ป่วยรายนั้นเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ยังสามารถเชิญคนในครอบครัวมาเข้ารับการตรวจ เรียกได้ว่า การถอดรหัสยีนมะเร็งยังมีส่วนช่วยทั้งในมิติของการวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันโรคอีกด้วย

นพ. วิทูร อธิบายต่อว่า การจะพยากรณ์ผลการรักษาได้ล่วงหน้าเช่นนี้ จำเป็นต้องสร้างฐานข้อมูลยีนมะเร็งขนาดใหญ่เป็นของคนไทยเอง เพื่อให้ทราบว่าคนไทยมีความผิดปกติของยีนมะเร็งชนิดใดมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้ไม่อาจนำผลงานวิจัยจากตะวันตกมาอ้างอิงได้ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาเปรียบเทียบคนชาติเอเชียกับชาติตะวันตกพบว่า มะเร็งชนิดเดียวเกิดขึ้นจากยีนกลายพันธุ์คนละชนิดกัน ซึ่งกลไกการเกิดโรคที่ต่างกันนี้เกิดขึ้นกับมะเร็งในอวัยวะทุกส่วน แม้แต่ชาติในเอเชียเองก็ยังพบความแตกต่างนี้เช่นกัน โดยประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ เริ่มมีการเก็บข้อมูลยีนมะเร็งเป็นของตนเองแล้ว”

ทีมแพทย์และนักวิจัยได้ตั้งเป้าโครงการระยะแรกไว้ว่า ภายในปี 2022 จะต้องถอดรหัสยีนมะเร็งจากผู้ป่วยระยะลุกลามให้ได้อย่างน้อย 2,000 ราย ซึ่งต้องใช้เงินทุนราว 200 ล้านบาท ก่อนจะขยายผลให้ครบ 10,000 รายภายในเวลา 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ปรับแผนการวินิจฉัยและการรักษากันใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยใหม่ที่พบมากถึงปีละกว่า 100,000 ราย

ปัจจุบัน การถอดรหัสยีนมะเร็งมีเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 50,000 – 200,000 บาท หากโครงการนี้ได้รับการผลักดันเดินหน้าไปด้วยดี จนมีฐานข้อมูลพันธุกรรมใหญ่เพียงพอที่จะรู้ว่าคนไทยต้องการยาต้านมะเร็งชนิดใดมากเป็นพิเศษ ภาครัฐก็อาจตระหนักถึงความสำคัญและประสิทธิภาพของการรักษาด้วยหลักการแพทย์แม่นยำ และให้การสนับสนุนนำตัวยาดังกล่าวเข้าไปอยู่ใน

สิทธิ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล พร้อมทั้งผลักดันให้มีบริการถอดรหัสยีนมะเร็งเป็นบรรทัดฐานในการรักษาตามหน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ

สุดท้าย ความฝันที่คนไทยทุกคนจะมีสิทธิ์รอดชีวิตจากโรคมะเร็งได้เท่าเทียมกับประชาชนในชาติพัฒนาแล้ว ก็จะเป็นจริงได้ในอนาคต มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้ให้เพื่อพิชิตโรคมะเร็งร้ายไปด้วยกัน กับ “โครงการวิจัยการแพทย์แม่นยำในโรคมะเร็ง” ผ่านเลขที่บัญชี 901-7-05999-0 ชื่อบัญชี: ศิริราชมูลนิธิ กองทุนสนับสนุนการแพทย์แม่นยำในโรคมะเร็ง บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ (ใบเสร็จสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้)

REALATED NEWS

Comments

Share Tweet Line