‘ปวดหลัง’ เป็นหนึ่งในอาการที่สร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย และไม่ได้มีเพียงเฉพาะผู้สูงวัยเท่านั้นที่พบเจออาการนี้ เพราะปัจจุบันอาการปวดหลังสามารถพบได้ตั้งแต่คนอายุยังน้อย โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่จำเป็นต้องนั่งนาน ๆ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ ในบทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการปวดหลัง สาเหตุ ความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ รวมถึงแนวทางการรักษาป้องกัน เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
สาเหตุของอาการปวดหลัง มีอะไรบ้าง?
- ความเสื่อม
พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นความเสื่อมตามวัย เนื่องจากหมอนรองกระดูกสันหลังผ่านการใช้งานเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการเสื่อมและทรุดตัวลง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ หรือในบางรายกระดูกสันหลังทรุดไปกดทับเส้นประสาทร่วมด้วยทำให้เกิดอาการปวดหลังรุนแรง
2 .อุบัติเหตุ
ถือเป็นอาการปวดหลังที่เกิดแบบฉุกเฉิน เช่นจากการพลัด ตก หกล้ม เกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ ทำให้เกิดอาการปวดหลังทันที โดยส่วนใหญ่ที่พบ คือกระดูกหัก กระดูกเคลื่อน หรือเคลื่อนทับเส้นประสาท
3. เนื้องอกในกระดูกสันหลัง / โรคมะเร็งกระดูก
ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ มักมีอาการปวดรุนแรง เนื่องจาก โครงสร้างกระดูกเริ่มสูญเสียความแข็งแรง
4. ภาวะติดเชื้อ
เป็นอาการปวดของกระดูกสันหลังเนื่องจากการติดเชื้อ โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลังพร้อมกับมีไข้ร่วมด้วย
5. ใช้งานมากเกินไปหรือผิดท่า
พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน ในกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม เกิดจากการนั่งนาน ๆ รวมถึงท่านั่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมก่อนวัยอันควร
อาการปวดหลังแบบไหนควรรีบพบแพทย์
- ปวดหลังร่วมกับมีไข้
- ปวดหลังร่วมกับมีอาการน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ปวดหลังรวมกับอาการเบื่ออาหาร
- ปวดหลังร้าวลงขา ขาอ่อนแรง
- อาการปวดหลังส่งผลต่อการขับถ่ายที่ผิดปกติ เช่น ปัสสาวะไม่ออก กลั้นอุจจาระไม่ได้
- มีอาการปวดหลังเรื้อรังเกิน 3 เดือนขึ้นไป
- ปวดหลังจากอุบัติเหตุ
แนวทางการรักษา-ป้องกัน อาการปวดหลัง
สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง พักแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นเบื้องต้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่จริง โดยการตรวจเบื้องต้นจะประกอบไปด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เอกซเรย์ หรือในบางกรณีอาจทำ MRI ร่วมด้วย ในส่วนของแนวทางการรักษาในปัจจุบันมี 4 แนวทางหลักดังนี้
- รักษาด้วยการใช้ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลดการอักเสบ ขึ้นอยู่กับอาการและดุลพินิจของแพทย์
- รักษาโดยไม่ใช้ยา ปัจจุบันมีหลายวิธีเช่น การทำกายภาพบำบัดบัด การฝังเข็ม การใช้เลเซอร์ การคลายกล้ามเนื้อด้วย การนวด อัลตราซาวด์ รวมไปถึงการทำช็อกเวฟ เพื่อ ลดอาการปวดลง
- รักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่ทั้ง 2 วิธีที่กล่าวมาไม่เห็นผล กระดูกสันหลังเสื่อมมาก ๆ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อกระดูก หรือรักษาโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ในกรณีที่เกิดการทับของเส้นประสาท ก็สามารถรักษาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจาก 3 ข้อ ที่กล่าวมานั้น สิ่งที่ควรทำมากที่สุดทั้งก่อนและหลังการเข้ารับการรักษา คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ท่านั่ง ท่านอน ลดการยกของหนัก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถช่วยลดอาการปวด และลดความเสี่ยงการเกิดโรครุนแรงในอนาคตได้ด้วย
ใครที่กำลังเผชิญกับอาการปวดหลัง โดยเฉพาะอาการปวดหลังร้าวลงขา ชา อ่อนแรง ลักษณะนี้มีโอกาสเสี่ยงกับโรคกระดูกสันหลัง ให้รีบเข้ารับการรักษาก่อนอาการรุนแรง ปัจจุบันมีการรักษาที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว