Newsplus Sport

ทวงคืนความยุติธรรม! เปา อนุสรณ์ แจงชัด 4 ข้อ หลังถูกโดนแบน 1 ปี

1 Mins read

อนุสรณ์ แสงเนตร [ผู้ตัดสินไทยลีก3] ถูกร้องเรียนจากเหตุการณ์ระหว่าง นนทบุรี ยูไนเต็ด พบ พราม แบงค็อก เมื่อ 3 ต.ค. ใน 4 ข้อกล่าวหาจากสโมรสรทีมเยือน

ก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ได้พิจารณาจากรายงานของคณะอนุกรรมการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินฯ และจากการดูคลิปเหตุการณ์ประกอบแล้ว เห็นด้วยกับการพิจารณาของ คณะอนุกรรมการฯ แต่ยังไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษ คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท

จึงมีมติเอกฉันท์ ลงโทษ อนุสรณ์ แสงเนตร ผู้ตัดสิน ตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยจรรยา สำหรับนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ในความดูแล ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์พ.ศ. 2560 หมวด 1 จรรยาของนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ข้อ 3 (3) ใช้วาจาสุภาพและให้เกียรติบุคคลอื่น (10) ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุนักกีฬาอาชีพที่เข้าร่วมการแข่งขัน และ (11) ต้องรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสมาคมและวงการกีฬาฟุตบอล ประกอบกับ หมวด 3 บทกำหนดโทษ ข้อ 10.9 ให้พักการปฏิบัติหน้าที่ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2563 ถึง วันที่ 15 ตุลาคม 2564

อนุสรณ์ แสงเนตร ผู้ตัดสินในศึกไทยลีก 3 ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า ผมขอแก้ต่างใน 4 หัวข้อที่สโมสร พราม ได้ฟ้องร้องผม เริ่มจาก

ข้อ1 ผมขอปฏิเสธเลย ถามว่าในการตัดสินจริงคุณกล้าให้[คำด่าอวัยเพศ]กับนักกีฬาเหรอ คุณกล้าให้ตลอดเวลาเหรอ นักกีฬามันจะไม่ต่อยคุณเหรอ คุณจะสามารถคุมเกมอยู่ได้เหรอ คุณจะสามารถซื้อใจผู้เล่นได้เหรอ อันนี้คิดแบบคนโง่ๆนะ ซึ่งทางคณะกรรมการได้ถามผมว่าผมพูดจริงไหม ผมพูดเลยว่าผมยอมรับว่าผมพูดจริงๆตอนที่ผมเดินออกจากสนามด้วยความที่ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมโดนด่า โดนกระแทก โดนทำร้ายจิตใจ ผมก็หลุด ผมเลยพูดไปว่า “มึงจะด่าค_ยอะไรนักหนาเนี้ย..จะเอาอะไรกับกูอีก”แล้วก็เดินออกมา แต่กลายเป็นว่าทีมพรามได้เสริมเติมแต่งเข้ามาว่า พูดคำหยาบคายแล้วท้าทายใส่นักฟุตบอลทีมพรามตลอดเวลา คิดดูนะครับว่าผมจะทำเพื่ออะไร เคยรู้จักกันเหรอ แล้วทำไมผมต้องไปท้าทายขนาดนั้น คุณก็ทีมใหม่ผมก็เพิ่งเจอคุณครั้งแรก คนเราไม่ได้มีความโกรษความเกลียดกันมาก่อน นี่คือข้อที่1ที่ผมโดนบิดเบือน “ผลการพิจารณาโทษของผมมีทั้งหมดสองหน้ากระดาษ A4 ที่ทุกท่านคงได้อ่านไปแล้วต่อจาก 4 ข้อกล่าวหา ที่เพจต่างๆได้เอามาลง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับผม เพราะแผ่นแรกหายไปไหน แผ่นแรกคือผลการพิจารณาที่แท้จริงหายไปไหน”

ข้อ2 ผู้เล่นหมายเลข 4 ของ นนทบุรี ได้เข้ามากดดันผม เพราะสกอร์ตามหลังอยู่ และจะจบการแข่งขันด้วยคำพูด “เห้ย จารย์ที่นี่บ้านผมนะจะไม่ช่วยกันเลยเหรอ” ผมจึงตอบกลับไปว่า “จะให้ช่วยอะไร จะให้เป่าจุดโทษเลยเหรอ” ซึ่งขณะนั้นมีผู้เล่นทีมพรามยืนอยู่ข้างๆ เคสนี้จะมีผู้เล่นแค่ 3 คนที่ยืนอยู่ที่รู้เรื่อง มีผู้เล่นนนทบุรี มีผม มีผู้เล่นพรามถ้าจำไม่ผิดหมายเลข13ที่ยืนอยู่ข้างๆ โวยวายขึ้นมาเลยว่า “จะขอจุดโทษกันง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ผมได้ยินดังนั้นจึงเข้าไปชาร์จตัวชี้แจงว่า มันไม่ใช่ เมื่อมันไม่ใช่จุดโทษจะเป่าได้อย่างไร”หลังจากนั้นน้องมันก็เงียบไปแล้วกลับไปเล่นต่อ

ข้อ3 ตะคอกใส่ผู้เล่นทีมพรามว่า มึงไปร้องเรียนเลยกูไม่กลัวหรอก เหตุการณ์ในขณะนั้นผมกำลังเดินเข้าอุโมงค์และได้มีผู้เล่นสำรองของทีมพรามวิ่งเข้ามาหา บอกว่ากูจะร้องเรียนมึงให้เละ ผมก็ตอบกลับไปว่า ร้องเรียนไปเลย กูไม่กลัวมึงหรอก แล้วผมก็เข้าห้องผู้ตัดสินไปเลย

ข้อ4 ได้พูดติดต่อกับผู้ตัดสินที่ 4 ว่าอย่าเพิ่งยกทดเวลาในขณะที่หมดเวลาการแข่งขันไปแล้ว โดยผู้เล่นของทีมพรามได้ยินกันชัดเจน อันนี้ผมอึ้งเลยนะ อย่างแรกผมขออธิบายการทำงานของผู้ตัดสินทั้ง 4 คนก่อน ผู้ตัดสินที่ 4 มีหน้าที่ควบคุมดูซุ้มนั่งสำรอง และเขตเทคนิครับผิดชอบการเปลี่ยนตัวรับผิดชอบการยกทดเวลา ในวันนั้นนาฬิกาบนสกอร์บอร์ดของสนามแข่งขันไม่ตรงกับนาฬิกาของผู้ตัดสิน ซึ่งผู้ตัดสินกดเวลาเดินพร้อมกันทั้ง4คนยังไม่รวมถึงผู้ประเมินผู้ตัดสินมีนาฬิกาอีกสองตัว และแมตช์คอมที่มีนาฬิกาอีกหนึ่งตัว เท่ากับว่าทีมงานผู้ตัดสินในวันนั้นมีนาฬิกาทั้งหมด7 ตัว ในการยกทดเวลาทั้งครึ่งแรก และหลัง ครึ่งแรกจะต้องยกนาทีที่ 45 เป๊ะยกป้ายได้เลย ครึ่งหลังก็เหมือนกัน นาทีที่ 90 ซึ่งผู้ตัดสินได้เดินไปบริเวณข้างสนามตามที่นาฬิกาตัวเองได้จับไว้เพื่อยกทดเวลา ซึ่งตรงนี้หลักฐานมีอยู่ในไลฟ์สดในเพจ นนทบุรี ยูไนเต็ด ผมท้าให้ลองจับเวลาว่าครบ 45 นาทีไหม

ในนาทีที่ 43 ของครึ่งเวลาแรก และนาทีที่ 87 ของครึ่งเวลาหลัง เราจะให้สัญญามือกัน เช่น ทดสอง ผมจะให้สัญญาณทด 2 นาที จากนั้นผู้ตัดสินที่ 4 จะนำป้ายเปลี่ยนตัวมาให้ดูว่าใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนเขาไป ดังนั้นข้อกล่าวหานี้เป็นไปไม่ได้ และผมไม่ได้พูดด้วย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทีมต้องการอะไรถึงมาใส่ร้ายผมแบบนี้ เพราะหากผมสั่งให้ทดเวลาช้า เกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่จับเวลา ยังมีทีมเจ้าบ้านที่เขาก็จับเวลาอยู่ และยังมีแมตช์คอมถามผมแน่ และยังมีการไลฟ์สดที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่า ผมทำผิดกติการ เคสแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกัน ผู้ตัดสินในโลกมนุษย์ไม่มีใครเขาทำกัน    

กรณีที่สโมสรร้องเรียนมาในนาทีที่ 94 ของการแข่งขัน นายอนุสรณ์ แสงเนตร ผู้ตัดสินเป่านกหวีดให้สัญญาณว่ามีการทำฟาวล์เกิดขึ้น หน้าเขตโทษ คณะอนุกรรมการได้แจ้งผลการพิจารณาได้แจ้งผลการพิจารณาให้ตัวแทนสโมสรมารับฟังผลการพิจารณาว่า “นายอนุสรณ์ ผู้ตัดสิน ได้ตัดสินถูกต้องนะครับ เนื่องจากผู้เล่นสโมสรพราม ได้กระทำผิดกฎกติกาด้วยการชนจากด้านหลัง ผู้เล่น นนทบุรี ยูไนเต็ด ส.บุญมีฤทธิ์ ตามกติกา laws of the game 2020-2021 ข้อที่ 12 การกระทำผิดกติกา และ เสียมารยาทในหัวข้อของการชาร์จคณะอนุกรรมการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง

ส่วนกรณีนายอนุสรณ์ แสงเนตร ผู้ตัดสินปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง เพราะกระทำผิดตามระเบียบข้อบังคับจรรยาบรรณเนื่องจากได้ผู้คำหยาบคาย ด่าผู้เล่นด้วยถอยคำหยาบคาย พร้อมกับมีคำพูดท้าทายว่า มึง ไปร้องเรียนเลย กูไม่กลัวมึงหรอก คณะอนุกรรมการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นานอนุสรณ์ แสงเนตร ผู้ตัดสินแสดงพฤติกรรมผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย ส่งผลถึงสมาคมฟุบอลแห่งประเทศไทยฯ ด้วย

ซึ่งในข้อนี้ ถ้าเพื่อนๆ อ่าน ผมยังไม่เคลียร์นะว่า ตกลงใน 4 หัวข้อ ตัดสินผมผิดทั้ง 4 หัวข้อเลยใช่มั้ย ผมเลยได้โทรกลับไปที่สมาคมฯ ว่า ตกลงผมผิดหัวข้อไหนบ้าง จาก 4 หัวข้อที่เขาร้องเรียนมา เจ้าหน้าที่ได้แจ้งผมมาว่า ผมผิดใน 2 หัวข้อ 1.พูดคำหยาบ (อวัยวะเพศชาย) ท้าทายใส่นักฟุตบอลทีมพราม แต่ผมไม่ได้พูดตลอดเวลานะ อันนี้ผมกล้าสาบานเลยว่า ทีมพราม แต่งเติม ป้ายสีผม เพื่อต้องการดร็อปผมให้นานๆ ด้วยความที่แค้น เจ็บใจ เพราะว่าไม่สามารถเอาคลิปวีดีโอ หรือ ความผิดพลาดในการตัดสินในเกม มาเล่นงานผมได้ เลยปั้นแต่งคำพูดขึ้นมา เพื่อให้ผมโดนลงโทษ และในการโทรมาหาผม ในวันพิจารณา ซึ่งผมอยู่ที่ทำงาน พร้อมเปิดลำโพงให้ที่ประชุม ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พิจารณา ซึ่งข้อนี้ผมยอมรับ ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมเป็นทหารอากาศ ผมกล้าทำ ผมกล้ายอมรับ ผมบอกครับ ผมพูดจริง แต่ผมพูดตอนผมเดินออกมา ไม่ได้พูดตลอดเวลา ขอให้เข้าใจตามนี้นะครับ

ส่วนข้อที่ 2 ที่ผมผิด นั่นคือข้อ 3 ตะคอกใส่ผู้เล่นพราม ว่าไปร้องเรียนเลย กูไม่กลัวมึงหรอก ผมก็ยอมรับในที่ประชุมอีก จากโทรศัพท์ที่เปิดกลางที่ประชุมว่า ครับ ผมพูด ผมยอมรับครับ ผมเป็นลูกผู้ชายครับ ไม่ใช่หน้าตัวเมีย ที่ต้องมาปั้นแต่งข้อความอะไรพวกนี้ มาใส่ร้ายคนอื่น กล้าทำ กล้ายอมรับครับ ดังนั้น คณะกรรมการเลยพิจารณาว่าผมผิด 2 หัวข้อนี้ สำหรับการตัดสินในสนาม ผมถูกต้องหมดทุกเคส ไม่สามารถพิจารณาลงโทษผมได้