Around Town

3 ปุ๋ยชีวภาพตระกูลพีจีพีอาร์แรงเวอร์ยอดใช้พุ่งเกษตรกรสั่งจองข้ามปี

1 Mins read

กรมวิชาการเกษตร ชูปุ๋ยชีวภาพถุงเขียวตระกูลพีจีพีอาร์ 3 สูตรสุดยอดปุ๋ยชีวภาพแห่งปี ทึ่งแบคทีเรียในปุ๋ยมากความสามารถ ทั้งตรึงไนโตรเจน  ละลายธาตุอาหารสำคัญที่ถูกตรึงอยู่ในดิน  สร้างสารแย่งจับธาตุเหล็กส่งต่อพืช  พร้อมสารต้านเชื้อราสาเหตุโรคพืช   เพิ่มราก  เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนใช้ปุ๋ยเคมี  เผยความต้องการใช้ปี 63 เกือบ 100 ตัน  เกษตรกรสั่งจองออร์เดอร์ยาวข้ามปี  เผยพีจีพีอาร์-ทู ได้รับความนิยมสูงสุด 

[catlist id=58 numberposts=5 excludeposts=this]

นางสาวเสริมสุข  สลักเพ็ชร์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ปุ๋ยเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญต่อการเพาะปลูกพืชมีหน้าที่ให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะธาตุอาหารหลัก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งพืชต้องการในปริมาณมากเมื่อเทียบกับธาตุอื่น ๆ และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุเหล่านี้โดยการให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารสำคัญดังกล่าว  ซึ่งกองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้ศึกษาวิจัย และพัฒนาการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่สามารถสร้างธาตุอาหารที่สำคัญเป็นประโยชน์กับพืชโดยผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพของกรมวิชาการเกษตรประเภทต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม  ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต  รวมทั้งปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ ซึ่งเกษตรกรนิยมเรียกว่า ”ปุ๋ยถุงเขียว” ตามสีของบรรจุภัณฑ์  จัดเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพอีกชนิดหนึ่งของกรมวิชาการเกษตรที่ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรจำนวนมากและมียอดสั่งจองเพิ่มขึ้นทุกปี 

ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ ประกอบด้วยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณรอบรากพืชและช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยนักวิจัยได้ทำการคัดเลือกแบคทีเรียที่มีความสามารถหลาย ๆ ด้านทั้งการตรึงไนโตรเจน  เพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืช  สร้างสารซิเดอโรฟอร์ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มการนำธาตุเหล็กเข้าสู่เซลล์พืชโดยการแย่งจับธาตุเหล็กบริเวณรอบรากพืช  ทำให้เชื้อราโรคพืชไม่สามารถนำธาตุเหล็กไปใช้ได้   รวมทั้งยังสามารถสร้างสารคล้ายฮอร์โมนพืชช่วยในการงอกของรากและเพิ่มปริมาณรากขนอ่อน  สร้างสารปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราสาเหตุโรคพืชได้  ซึ่งการที่แบคทีเรียมีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้พร้อมกันหลายอย่างนี้  จึงได้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพีจีพีอาร์  โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปใช้ทดแทนหรือใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมี   เพื่อลดต้นทุนการผลิต   และช่วยเพิ่มปริมาณและคุณภาพให้กับผลผลิตพืช

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า ปุ๋ยพีจีพีอาร์สูตรแรกผลิตขึ้นเมื่อปี 2546 ชื่อว่า พีจีพีอาร์-วัน ใช้สำหรับข้าวโพดและข้าวฟ่างและพืชผักสมุนไพร  โดยใช้คลุกเมล็ดก่อนปลูก  หรือใช้ร่วมกับปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากันตามอัตราที่แนะนำสำหรับรองก้นหลุมก่อนปลูก  ปุ๋ยพีจีพีอาร์สูตรที่ 2 ใช้ชื่อว่า ปุ๋ยพีจีพีอาร์-ทู สำหรับข้าว  ซึ่งได้รับความนิยมจากเกษตรสูงเช่นเดียวกัน   เพราะสามารถใช้เพิ่มผลผลิตได้กับข้าวทุกพันธุ์  โดยใช้คลุกกับเมล็ดข้าวก่อนปลูกหรือใช้คลุกกับปุ๋ยหมักรองพื้นก็ได้   และผลิตภัณฑ์ปุ๋ยพีจีพีอาร์ล่าสุด คือ ปุ๋ยพีจีพีอาร์-ทรี ใช้สำหรับอ้อยและมันสำปะหลัง  ใช้ร่วมกับปุ๋ยหมักหว่านรองพื้น  ใช้ฉีดพ่นลงบนท่อนพันธุ์อ้อย  หรือใช้แช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังแล้วจึงนำไปปลูก

ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากการใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ คือ สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้อย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์  ช่วยเพิ่มปริมาณรากอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดน้ำและปุ๋ยอย่างน้อย 15 เปอร์เซ็นต์  และช่วยเพิ่มผลผลิตพืชอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งนอกจากจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว  ยังลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีไนโตรเจนทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง  ในขณะที่ผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้นด้วย

“หลังจากผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-วัน ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรอย่างมากประกอบกับเกษตรกรยังมีความต้องการใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ในการผลิตพืชชนิดอื่น กรมวิชาการเกษตรจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพอีก 2 สูตร คือ ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-ทู สำหรับข้าว และปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-ทรี สำหรับอ้อยและมันสำปะหลัง  โดยปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ในปี 2561 มีจำนวน 35 ตัน ส่วนในปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่า 60 ตัน และในปี 2563 นี้ปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ตัน  จากยอดการสั่งจองผลิตภัณฑ์ซึ่งเข้าคิวยาวไปถึงปีหน้า  โดยปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-ทู สำหรับข้าวได้รับการสั่งจองมากที่สุด  ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร  โทร.0-2579-7522-3”  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว